26 มิถุนายน 2556


Image from : "I am Programmer,I have no life." page

ฮึบๆ ไม่ได้ขยับนานเลยนะ ผมได้บอกกับตัวเอง ...เอาล่ะถือว่าบล็อกตอนนี้เป็นตอนเช็คพอยต์ละกันในชีวิตหนึ่งปีของการเรียนมหาลัย แล้วคิดว่าไม่มีสาระด้วย ฮ่าๆๆๆ เน้นบ่น(เรื่องตัวเอง)ซะมากกว่าละมั้งเขียนไปเรื่อยๆนึกออกก็พิมพ์ไม่มีการร่างติ่งอะไรทั้งนั้น ปล.ตอนนี้อาจมีคำไม่สุภาพนะครับเพื่ออรรถรสส่วนตัวล้วนๆ : )


ย้อนกลับไปวันแรกที่เปิดเรียนของปีหนึ่ง(สิงหา 55 ) แทบนึกไม่ออกเหมือนกัน...อ้าว ยืนอยู่หน้าม. ด้วยยูนิฟอร์มเสื้อเชิ๊ตขาวกางเกงสแลคทรงกระบอกรองเท้าหนังที่ขัดอย่างดี ทุกระเบียบทุกอย่าง ด้วยเพราะเราคือ เฟรชชี่!! นี่นาทำผิดระเบียบไม่เป็นหรอกย่ะ ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็นวันเดียวกับที่ปฐมนิเทศหรือกิจกรรมอะไรซักอย่างนี้แหละ กิจกรรมเต็มวันฟังบรรยายบลาๆๆ อะไรนั้น (ต้องบอกไว้ก่อนว่าเราทำกิจกรรมมาก่อนหน้าเปิดเลยรู้จักรุ่นพี่เพื่อนๆบ้างแล้ว แต่น้อยหน่อยเพราะส่วนตัวไม่ค่องสุงสิงกับใครมากมายไม่เข้าสังคมเท่าไหร่) บรรยายวันนั้นต้องบอกเลยว่า ด้วยคำว่า"บรรยาย" ถ้าเป็นเรื่องที่เราไม่ชอบนี่เราจะง่วงมาก ง่วงบัดซบ ผ่านไปครึ่งวันถึงช่วงเบรกเที่ยง "เอาล่ะ แม่งขี้เกียจฟังสัด" ไปดีกว่า หลังจากที่มีมวลพลังงานเสียงของเพื่อนๆที่ไปในทิศทางเดียวกันอีกด้วย สรุปคือ ออกเลยออกจากห้องประชุมนั้นเลยแล้วไป ไปห้องซ้อมดนตรีมั้งถ้าจำไม่ผิด คือเพื่อนๆเรามันก็มีที่ชอบดนตรีนะ เลยเออมาซ้อมกันหน่อย เรียกได้ว่าเป็นการซ้อมครั้งแรกเลยของมหาลัย ถึงจะรู้สึกว่าเสียตังค์ฟรีแต่ก็โอเคที่ได้เล่นดนตรี(ที่แบบเล่นอะไรกันก็ไม่รู้พ่นกันมั่วทุกอย่าง ฮ่าๆๆ) กลับหอเถอะ

ช่วงแรกๆเราอยู่หอในของม. นี่แหละเพราะจะเรียกว่าเรามาคนเดียวก็ได้ ทำไงล่ะมีเพื่อนที่อยู่หอนอกเหมือนกันเคยไปอยู่ด้วยแต่เอาจริงๆไม่อยากรบกวนมันแถมคือก็เยอะแล้ว หอในนี่แหละถูกดี แยกชายหญิง (เซ็ง) ห้องน้ำรวมคือเอาจริงๆก็โอเคนะข้อดีของมันคือ ตื่นสายได้ เพราะมันอยู่ในม.ใกล้ตึกเรียน ลืมอะไรก็กลับมาเอาได้ อยากจะนอนก็กลับมานอน ค่าน้ำไฟถูก ...แต่ข้อเสียมันก็มีตรงที่กฏเยอะแยะ(และถูกแหกประจำ) เปิดปิดเป็นเวลาวันไหนไม่เข้าก่อนเวลาปิด คือมึงก็ต้องไปหาที่ซุกหัวนอนข้างนอกเอาเอง ยามไม่โหดไม่ได้เดี๋ยวโดนเด้ง(หลังๆผมก็ออกมาอยุ่หอนอกแทนเพราะข้อนี้แหละ)

แรกๆเราเรียบร้อย(พูดเหมือนหลังๆจะไม่ดี   ..ใช่) ระหว่างวันที่เรียนเนี่ยตอนเย็นๆก็มีกิจกรรมที่ต้องทำร่วมกับรุ่นพี่อะไรแบบนี้ ต้องบอกว่าที่ม.เรานี่กิจกรรมเยอะมากทั้งของม. เองแหละของภาค คือประมาณอย่าให้การเรียนทำกิจกรรมเสียอะ ฮ่าๆ กิจกรรมหลังเรียนไม่ใช่เรียนพิเศษ(มันยังไม่ถึงเวลา) มันคือกิจกรรมการเต้นสัน,หลีดอะไรพวกเนี้ย เราชอบดนตรีมากนะแต่อีการที่จะต้องมานั่งจำท่าทางจำเนื้อเพลงบอกเลยว่าไม่เคยชอบเลย ถึงมันจะสนุกเวลาที่ได้เต้นเยอะๆแต่สุดท้ายเราก็ยืนด๊อกแด๊กๆอยู่ดี ดูเข้าเต้นกันไป รุ่นพี่ก็มาพีคอยู่นั้น"เต้นซิค่ะน้องๆๆๆ" ในใจก็แบบ กูอยากออกจากจุดนี้มาก กูอยากกลายเป็นเมือกไหลไปๆ เรานิสัยเสียอย่างคือถ้าไม่ชอบจะไม่ค่อยเอาไม่ค่อยชอบรับมันเท่าไหร่หรือไม่ก็ไม่ยุ่งเลย แม้แต่งานส่วนรวมบางอย่างก็นะอันนี้นิสัยเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่ข้อดีมันมีนะในการทำกิจกรรมอะไรที่ส่วนมากที่ดูจะบ้าๆบอๆ เอออย่างน้อยเราได้เห็นหน้าเห็นตาทำความรู้จักหลักๆคือมันเอาไว้ขอความช่วยเหลือได้~ แบบอ้าวนี่น้อง/พี่ภาคกูหรอมาช่วยกูเลยๆ เรียกง่ายๆคือการกระชับความสัมพันธ์ จะกระชับถึงขนาดไหนก็เอาเถอะ

 เรื่องเรียนในมหาลัยจะบอกก่อนเลยว่าน้องๆที่จะมาเรียนอะ มึงอ่านของม.ปลายไว้ดีๆเลยถ้าคล่องม.ปลายมึงสบายไปครึ่งละสำหรับปีหนึ่ง ชีวิตเรียนมหาลัยต่างจากมัธยมมากมาย มองมุมนึงคือมันสบายมากๆสบายตรงไม่ต้องมีใครมาบ่นอาจารย์น้อยคนที่จะมาบอกว่า ส่งได้แล้วนะค่ะนักศึกษา(เป็นสรรพนามใหม่ที่ไม่คุ้นหูเช่นกัน) คือต้องอยู่ด้วยตัวเอง(กับเพื่อน) ล้วนๆดูแลชีวิตตัวเอง แทบไม่มีเช็คชื่อ เดินเรียนไปตึกฯนู้นนี่กันสนุกและความสบายมันก็เลยกลายไปเป็นข้อเสียซะเองเพราะความที่ไม่มีใครมาบอกนี่แหละทำไงล่ะ ลืมทำคือตายไม่มีให้ลอกคือสาหัส เกณฑ์คะแนนมหาลัยช่างบัดซบอะไรแบบนี้ รวมๆก็คือ 20%คะแนนเก็บ 80%คะแนนสอบ หรือไม่ก็10:90 , 0:100ก็มีนะอาจารย์เคร่งๆบางคน ถ้าอย่างสอบได้สบายๆไม่ต้องมาอ่านอะไรเยอะคือเรียนในห้องให้มันรู้เรื่องเลย ซึ่งตัวเองก็ไม่เคยทำได้คุยมั่งล่ะ ฟังเพลง หรือเป็นจากโต๊ะเรียนเป็นที่นอน(นอนทีไรแม่งขาชาทุกที ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อความสบายตูดเลยจริงๆ)
แรกๆไม่ควรโดดการเรียนไม่รู้เรื่องนั้นก็คือหนึ่งประเด็น แต่อีกประเด็นที่สำคัญของคนที่มันไม่เคยเป็นเด็กเรียนก็คือเข้าเรียนให้รู้นิสัยอาจารย์หรือเรียนรู้พฤติกรรม เพื่ออะไร? เพื่อเป็นประโยชน์ในการคุย, เลทส่งงาน หรือการรีแลกซ์ในห้องเรียนเพราะอาจารย์แต่ละคนนี่จะมีเอฟเฟคและฟังก์ชั่นที่ไม่เหมือนกันบางคนโหด บางคนปล่อย บางคนหื่น(อันนี้ไม่มีๆ)  รวมไปถึงการโดดเรียนครั้งต่อๆไป หลายคนคงถามโดดเรียนมึงไปไหน? ง่ายๆเลยครับไปนอน ถ้ามาเรียนมหาลัยแล้วจะถามว่า นอนคืออะไร?เพราะกลางคืนนี่ทำอะไร เกมซิครับ ดูหนังซิ(ไม่นับAV)

พูดถึงเรื่องห้องเรียนในมุมผู้ชายจะชอบมากเลยคือการเรียนรวม(กับภาคอื่นๆ) มันมีวิชาบางตัวที่บังคับลงแทบทุกภาค มันดีตรงที่สาวๆครับ ไม่มีอะไรเลยสาวอย่างเดียว(=..=) ไม่รู้คนอื่นเป็นเหมือนกันไหมแรกๆที่รู้จักกันใหม่ๆ "ทำไมภาคกูมันสวยแบบนี้วะ" นานเข้าก็แบบ "เชี่ยแม่ง" สายตาต้องเป็นเหยี่ยวครับนี่พูดเลย ...อย่างที่บอกกิจกรรมมันเยอะครับ

อีกหนึ่งกิจกรรมที่รอคอยมากๆคือการเลือกชมรมเพราะมันก็เหมือนวิชาที่เป็นตัวเองที่สุด เราเลือกได้ว่าจะสนใจอะไรซึ่งเลือกไปจะไปไม่ไปก็อีกเรื่อง เราชอบดนตรีแต่ผมเลือกชมรมบันเทิงเป็นอย่างสุดท้ายเพราะอะไร เพราะคนต่อแถวแม่งเยอะมากกก ขีเกียจรอซิ (ขอเสริมนิดนึงว่าสังคมการฟังเพลงที่ม. ผมนั้นห่วยแตกมากอันนี้ต้องทำใจ เพราะน้อยคนที่จะยอมรับเพลงอื่นที่ไม่ใช่เพลงตลาด) ชมรมบันเทิงและดนตรีสากล(และสุราเมรัย) เป็นชมรมที่เราเลือกที่จะเข้าไปทำงานด้วยและคิดว่าน่าจะได้สาระกลับมาแยะๆ โอ้! โอเคฮะพี่ดี+เพื่อนดีมากๆๆๆ แถมมีห้องซ้อมด้วย เดี๋ยวๆๆๆๆ ไม่ชมละเดี๋ยวมีคนในชมรมมาอ่านเดี่ยวจะเหลิงเอา ฮ่าๆๆ (เอาเป็นว่ารักชมรมนี้มากๆถึงงานเบื้องหลังจะคล้ายๆกรรมกรก็เถอะ~ และมันก็กลายเป็นภาควิชาที่สองของเราไปแล้ว) ถึงตรงนี้ต้องหยุดพักนิดหน่อยเพราะนึกไม่ออก ...............

เมื่อเราก้าวมันเป็นนักศึกษาชอบตรงที่ว่าเราได้สิทธิในสังคมมากยิ่งขึ้นนะในเรื่องต่างๆ กิจกรรมบางทีเขาก็เปิดรับแต่พวกนักศึกษาไงบางทีช่วงเราอยู่มัธยมนี่ไปไม่ได้เพราะเกณฑ์ไม่ถึง มันเป็นช่วงพิเศษที่เราน่าจะไขว่ขว้ามากๆ สิ่งนึงเวลาเรามาเรียนมหาลัยก็คือศึกษาเส้นทางการเดินทางไว้เยอะๆ ที่กินที่เที่ยว อันนี้เหมือนจะไม่สำคัญเท่าไหร่แต่มันสำคัญสำหรับเรานะเราส่วนตัวชอบเที่ยว แถมใครถามก็จะได้พอตอบได้บ้าง ไม่ใช่กวนตีนตอบแต่แท็กซี่ "ถ้ากูจะนั่งแท๊กซี่กูไม่มาถามมึงหรอกไอ้เชี่ยยย"

บางทีการเป็นรุ่นน้องควรจะเคารพรุ่นพี่นะ แต่อย่างว่าเรากับเพื่อนๆมันดูแหกคอกไปหน่อย แต่งตัวดีๆนะเป็นปีหนึ่งน่ะ...ไม่นานหลังจากเปิดเรียนเราก็ใส่ขาเดฟไปเข้าเรียนละ ช่วงหลังๆเกงยีนส์ผ้าใบละ หนักกว่านั้นคือเกงยีนส์รองเท้าแตะ หนักกว่านั้นก็เสื้อยืดเกงบอลขาสั้นแม่งแบบโฮมยูนิฟอร์มเลย พูดถึงเรื่องรับน้องยังดีที่ภาคเราไม่มีว๊ากเท่าไหร่ มีแต่ดราม่าที่ดูน่าเบื่อเพราะรู้ยังไงมันก็คือละครอาจเพราะเราเจอสังคมกดดันมาตั้งแต่สมัยประถมกับค่ายวงโย เลยไม่ได้อินไม่ซีเรียสอะไรเลย พี่ดีๆก็มีดีๆ แต่ที่ไม่ดีนี่หมายถึงที่ไม่มีเหตุผล สักแต่จะด่า คือปีหนึ่งก็คนนะครับแต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากหรือเหตุผลบางอย่างที่เราจะไม่ชอบเขา(เรื่องปกติของการอยู่ในสังคมนิ) อย่างนึงคือไม่ชอบหรือเกลียดเลยก็ว่าได้คือปกติไหว้นะรุ่นพี่อะ(ยกเว้นซะว่าไม่เห็นหรือรีบจริงๆ) แต่ไม่ชอบคนที่ว่ามาไหว้น้องก่อนแล้วพูดเชิงๆ"น้องหวัดดีครับๆๆ" เอาจริงๆนะอาจจะดูแรงไปหน่อยแต่ก็คือไม่ต้องมาทำแบบนี้หรอกถ้าพี่แม่งทำตัวน่าเคารพเดี๋ยวผมไหว้เองครับ พี่หลายคนเห็นจะโกรธก็ได้นะที่ผมคิดแบบนี้แต่เชื่อเหอะว่าตอนพี่ปีหนึงพี่คงคิดอะไรแบบนี้บางแหละ ไม่ใช่เด็กแล้วะครับที่จะมาจำกัดความคิดคนอื่นเขา คนเขาก็มีสิ่งที่ชอบไม่ชอบเป็นปกติน่ะ เรื่องเพื่อนนี่สำคัญมากพยายามหาเพื่อนเยอะๆ(และหากลุ่มเพื่อนที่สนิทๆด้วยล่ะ) คือมันช่วยเราได้นะ ฮ่าๆๆ

 อย่างในช่วงไคลแม็กซ์ของมหาลัยคือการสอบไม่ว่าจะกลางภาคหรือปลายภาค ทำถามที่ว่าจะเกิดขึ้นคือ "นอนคืออะไร?" จากมัธยมที่ไม่มีหรอกมาอ่านหนังสือ แต่มหาลัยมันต่างกันหนังสือชีทเรียนมันคือสมบัติเลยความรู้สึกคือถ้าไม่อ่านมึงก็ตามไม่มีใครช่วยได้แล้วหลังจากคะแนนออกมา ซึ่งช่วงก่อนสอบทุกคนจะกลายสภาพเป็นซอมบี้เดินดินอ่านหนังสือกันข้ามวัน ติวแม่งทั้งคืน จดๆๆๆๆสรุปๆๆๆๆทำอย่างไงก็ได้ที่จะให้รู้เรื่องและเท่าที่จะจำได้ กาแฟนี่เป็นแกลลอน(เวอร์)แต่เอาจริงๆคืออ่านตลอดทั้งคืน บางทีต้องเก็บแลปท็อปไปก็ไม่งั้นอ่านไม่ได้จะเปิดมาเล่นตลอด ที่พูดนี่เหมือนเวอร์นะครับแต่แนะนำให้น้องๆถึงก่อนเวลานั้นน้องจะเป็นอัจฉริยะข้ามคืนเลย แต่ด้วยความที่เราเป็นคนเรียนไม่เก่งหัวช้าเป็นนิจ ก็เลยแดกF ฟิสิกไปหนึ่งตัวเพราะผลของการควิซในห้องไม่ผ่าน(ควิซก็คือเหมือนๆกันสอบเก็บคะแนนแหละ) และเรียนไม่เข้าหัวเลยย ติดโปรสูงไปซิครัฟฟฟ(โปรคือการโดนภาคทัณฑ์ด้วยคะแนนที่ต่ำกว่าเกณฑ์ ถ้าไม่ทำให้เกรดรวมได้เยอะกว่าเกณฑ์นี่โดนเด้งเลยนะหรือเรียกว่าโดนไทน์นั้นเอง) เกรดออกเศร้ามากชีวิตหดหู่ บัดซบเกิดไม่เกรดไม่เคยเหี้ยแบบนี้ หาใครล่ะครับอาจารย์ที่ปรึกษา(เหมือนเป็นโดราเอม่อนของโนบิตะเลย แนะนำให้รู้จักและหาเบอร์ติดต่อไว้นะ อาจารย์ที่ปรึกษาถ้าเทียบกับสมัยมัธยมนี่แทบไม่เคยไปวุ่นวายด้วยเลยทำผิดโยนเข้าห้องปกครองอย่างเดียว ) อาจารย์เข้าจะคุยเรื่องว่าเรียนไหวไหมจะดรอปไหม(ดรอปคือประมาณไม่ลงเรียนบางตัวเพื่อจะให้เกรดเทอมนั้นๆมันขึ้นง่ายขึ้น แต่ต้องไปตามลงเรียนทีหลังอยู่ดี) เขาสามารถแนะนำได้หมดนะเรื่องทุนเรื่องขี้อะไรก็ไปถามเขาเถอะ 

....เขียนถึงตรงนี้แล้วดูมันยาวมาก เดี๋ยวจะตัดบทจบดื้อๆเลยละกัน ง่ายๆของการใช้ชีวิตก็คือก็คือการใช้ชีวิตประจำวันปกติไปเท่านี่แหละ พยายามเรียนในห้องให้เข้าใจ รุ่นพี่(ที่ดี)และเพื่อนสำคัญมาก อย่าพยายามมีปัญหากับอาจารย์(เด็ดขาด!) ถ้าไม่อยากตายไว เรียนเยอะเครียดไปเที่ยวครับ หรือชักชวนเพื่อนๆไปดินแดนวิเศษซึ่งน่าจะมีทุกม.นะครับ ดินแดนแห่งความเมามายฮ่าๆๆ
ชีวิตมหาลัยเป็นสังคมที่เปิดกว้างยอมรับความคิดของนักศึกษากว่ามัธยมที่อาจารย์จะฟังแต่หัวหน้าห้อง เราไม่ชอบอะไรไม่ต้องการอะไรเรามาร้องเรียนหรือสอบถามคุยกับส่วนที่เกี่้ยวข้องได้เลย เชื่อเลยว่าแค่คนคนเดียวก็สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้นะ ใช้ชีวิตในแต่ละปีให้คุ้มเพราะคิดว่าจบไปคงเสียดายแน่ๆถ้าไม่ได้ทำอะไรในช่วงนี้ ปีหนึ่งเที่ยวให้คุ้มเพราะหลังจากนั้นคงจะไม่ค่อยว่างแล้วล่ะ เรียนโหดกว่าเดิมมาก

  ....ยังมีอีกหลายอย่างที่อยากจะพิมพ์ต่อ บางเรื่องที่ตัดทอนลงไปและอยากจะเขียนมากแต่มันยาวเกินไปแล้ว ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่มาเรียนแล้วต้องเจอแต่ขอหยุดการสปอยส์ไว้แค่นี้แหละ ขอบคุณมากครับ

ปล1. เกี่ยวกับมหาลัยล้วนๆไม่ได้เอากิจกรรมข้างนอกระหว่างนี้มาใส่เพราะยาวมากกก
ปล2. ผมหลุดโปรแล้วฮะ~
ปล3. อ่านยากหน่อยทำตัวหนาไม่ติด


0 ความคิดเห็น:

แบ่งปัน